วันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เอกสารการนำเข้าและส่งออก


วัตถุประสงค์ในการนำสินค้าเข้าและเอกสารที่ต้องใช้

การนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรโดยทั่วไปมีวัตถุประสงค์ 3 ประการได้แก่
  1. นำเข้ามาเพื่อจำหน่ายหรือใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าเพื่อขายภายในประเทศ
  2. นำเข้ามาเพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก
  3. นำเข้ามาชั่วคราวเพื่อซ่อมหรือเพื่อแสดงสินค้าความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการนำเข้าสินค้า

    การนำเข้าสินค้าในปัจจุบันมีการขยายตัวเติบโตมากขึ้นตามความเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ และการตกลงทางการค้าว่าด้วยเขตการค้าเสรี (FTA)โดยมีหลักการที่พยายามลดอุปสรรคทางการค้าลง โดยเฉพาะการลดหย่อนหรือยกเว้นภาษีระหว่างคู่สัญญา  เนื่องจากขั้นตอนการนำเข้าสินค้ามีขั้นตอนที่ยุ่งยาก และมีปัญหาทางด้านต้นทุนผู้ประกอบธุรกิจนำเข้าสินค้าจะต้องทำความเข้าใจและศึกษาข้อปฏิบัติให้ถูกต้อง เพื่อให้การประกอบธุรกิจนำเข้าสินค้าเป็นไปอย่างสะดวกและได้รับผลสำเร็จคุ้มค่ากับความตั้งใจการลงทุน
    ขั้นตอนการนำเข้าสินค้าประกอบด้วย
    1. การจดทะเบียนพาณิชย์
    2.การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและการขอเลขและบัตรประจำตัวผู้เสียภาษีอากร
    3. การหาสินค้าที่ต้องการจากประเทศต่างๆ
    4. การติดต่อ สั่งซื้อสินค้า
    5. การชำระเงินค่าสินค้าผ่านธนาคาร
    6. จัดเตรียมเอกสารเพื่อการนำเข้าสินค้า
    7. ติดต่อผ่านพิธีการศุลกากร (• การขึ้นทะเบียนระบบ Paperless • พิธีการประเมินอากร
    • การชำระค่าภาษีอากร • พิธีการตรวจปล่อยสินค้า)
    8. การส่งมอบสินค้า
    9. การกระจายสินค้า หรือการขายสินค้าออกสู่ตลาด
    อันดับแรกผู้นำเข้าควรที่จะศึกษา จัดทำแผนธุรกิจเพื่อเป็นแนวทางของการหาแหล่งผลิตสินค้า (ผู้ขายสินค้า) การผลิต การกระจายสินค้าเข้าสู่ตลาดเป้าหมาย   ลำดับถัดมาผู้ประกอบการนำเข้าสินค้าควรที่จะต้องศึกษา เกี่ยวกับระเบียบพิธีการนำเข้าสินค้าของกรมศุลกากร   ที่ว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีอากรสำหรับสินค้าที่นำเข้า สินค้าเป็นสินค้าต้องห้ามหรือสินค้าต้องกำกัด (สินค้าควบคุมต้องขออนุญาตนำเข้า) การขนส่งสินค้า สิทธิประโยชน์ตามความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) การประกันภัยสินค้า การชำระเงินค่าสินค้าผ่านธนาคาร
    การจัดเตรียมเอกสารเพื่อการนำเข้าสินค้า
    เอกสารประกอบตามขั้นตอนพิธีการศุลกากรในการนำเข้าสินค้ามีดังนี้  บัญชีราคาสินค้า (Invoice) 
    บัญชีรายละเอียดบรรจุหีบห่อ (Packing List)  ใบตราส่งสินค้า (Bill of Lading or Air Waybill)  ใบแจ้งยอด
    เบี้ยประกัน (Insurance Premium Invoice) ใบอนุญาตหรือหนังสืออนุญาตสำหรับสินค้าควบคุมการนำเข้า
    ใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin) กรณีใช้สิทธิลดอัตราอากร เอกสารอื่น ๆ เช่น เอกสาร
    แสดงส่วนผสม คุณลักษณะและการใช้งานของสินค้า  Material Safety Data Sheet, Catalog เป็นต้น
    ขั้นตอนถัดไปคือการจัดทำใบขนสินค้าขาเข้า ทำการตรวจสอบประเภทพิกัด อัตราอากรและสิทธิประโยชน์
    ของการลดหย่อนหรือยกเว้นอากรตามความตกลงเขตการค้าเสรี และได้ชำระอากรแล้วก็สามารถนำเอกสาร
    ใบขนสินค้าขาเข้าพร้อมใบเสร็จเสียภาษีอากร เอกสาร Delivery Order (D/O)ไปดำเนินการตรวจปล่อย
    สินค้าในท่าเรือและขนถ่ายสินค้าี่นำเข้ามาที่โกดังหรือโรงงาน หรือบริษัทถือเป็นการสิ้นสุดการนำเข้าสินค้า

วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เอกสารการคลังสินค้า


ความหมายของการคลังสินค้า

การคลังสินค้า หมายถึง กระบวนการเก็บสินค้า วัสดุและสิ่งต่างๆ อย่างมีระบบ เพื่อที่จะจำหน่ายสินค้าที่เก็บไว้ออกไปอย่างถูกต้อง  รวดเร็ว ทันเวลา และอยู่ในสภาพที่ดี
ประโยชน์ของคลังสินค้า
1.  ทำให้ต้นทุนของสินค้าลดลง
2.  เป็นการป้องกันการขาดมือของสินค้าที่จะขาย
3.  ช่วยลดปัญหาอันจะเกิดขึ้นเนื่องจากการขนส่ง
4.  สามารถผลิตได้ในปริมาณเกินกว่าความต้องการตามฤดูกาล
5.  ช่วยให้ได้ใช้สินค้านั้นๆ ได้ทันเวลาตามต้องการ
6.  ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
7.  ช่วยให้การผลิตดำเนินไปได้โดยปกติ
8.  ช่วยให้เครดิตแก่อุตสาหกรรมหรือพ่อค้าที่มีทุนน้อย
9.  ช่วยให้ราคาสินค้ามีเสถียรภาพ
       10.   ช่วยเก็บพักสินค้าชั่วคราวที่จะต้องส่งออกไปต่างประเทศอีกต่อหนึ่งในลักษณะของ Re-export

ขอบเขตในการดำเนินงานคลังสินค้า

1.  รับฝากสินค้าโดยได้รับเงิน หรือค่าตอบแทน หรือประโยชน์อื่นใด
2.  ให้ผู้ฝากยืมเงินโดยเอาสินค้าที่ฝากไว้นั้นจำนำไว้เป็นประกัน
3.  ให้บริการด้านความเย็นเพื่อเก็บรักษาสินค้า หรือด้วยกรรมวิธีอย่างอื่นเพื่อประโยชน์ของผู้ฝาก
4.  กระทำการซื้อขาย แลกเปลี่ยน เพื่อประโยชน์ในการประกอบกิจการคลังสินค้า
5.  รับมอบอำนาจจากผู้ฝากสินค้าให้กระทำตามแบบพิธีการของศุลกากรเกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออก
6.  นำเงินที่ได้รับจากการบริการไปลงทุนหาผลประโยชน์

ประเภทของคลังสินค้า

การจัดแบ่งตามลักษณะของบุคคลที่ใช้ประโยชน์จากคลัง      สินค้า
1.  คลังสินค้าส่วนตัว (Private Warehouse) เป็นคลังสินค้าที่บริษัทสร้างขึ้นเพื่อใช้สำหรับเก็บรักษาสินค้าของบริษัทเอง
2.     คลังสินค้าสาธารณะหรือคลังสินค้าให้เช่า (Public Warehouse) เป็นคลัง 

สินค้าที่มีไว้ให้บุคคลอื่นเช่าเนื้อที่สำหรับไว้เก็บรักษาสินค้า 

การจัดแบ่งตามลักษณะของสินค้าที่จัดเก็บรักษา
1.  คลังสินค้าที่เก็บสินค้าทั่วๆ ไป (General Merchandise Warehouse)
2.     คลังสินค้าที่เก็บรักษาสินค้าประเภทที่ไม่บรรจุหีบห่อ (Bulk Storage Warehouse)
3.  คลังสินค้าที่เก็บรักษาโภคภัณฑ์ (Commodity Warehouse)
4.  คลังสินค้าห้องเย็น  (Cold Storage Warehouse)
5.  คลังสินค้าประเภทเครื่องใช้ในครัวเรือน (Household Goods Warehouse)
6.  คลังสินค้าประเภทของเหลว

เอกสารการคลังสินค้า

เอกสารในการขออนุญาตดำเนินกิจการการคลังสินค้า

1. แบบ ค.ส. 1 ใบคำขอรับความเห็นชอบเพื่อจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทประกอบกิจการคลังสินค้า
2. แบบ ค.ส. 2 ใบคำขออนุญาตประกอบกิจการคลังสินค้า
3. แบบ ค.ส. 3 ใบคำขอรับใบแทนใบอนุญาต
4. แบบ ค.ส. 4 ใบคำขออนุญาตจัดตั้งสาขาบริษัท
5. แบบ ค.ส. 5 ใบคำขอแจ้งชนิดและปริมาณสินค้า 

เอกสารการรับและส่งมอบสินค้า

1.  ใบนำส่งสินค้าเข้าเก็บในคลังสินค้า
2.  ใบรับสินค้า
3.  ใบรับคลังสินค้า (Warehouse Receipt)
4.  ใบประทวนสินค้า

เอกสารการประกันภัย


การประกันภัย คือ การบริหารความเสี่ยงภัยวิธีหนึ่ง ซึ่งจะโอนความเสี่ยงภัยของผู้เอาประกันภัยไปสู่บริษัทประกันภัย เมื่อเกิดความเสียหายขึ้น บริษัทประกันภัยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามที่ได้รับความคุ้มครองในกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัย โดยที่ผู้เอาประกันภัยจะต้องเสียเบี้ยประกันภัยให้แก่บริษัทประกันภัยตามที่ได้ตกลงกันไว้
การประกัน (Insurance) คือการบริหารจัดการความเสี่ยงรูปแบบหนึ่ง โดยมีองค์ประกอบสามส่วน คือ
  • ผู้รับประกัน (Insurer)
  • ผู้เอาประกัน (Insured) หรือผู้ถือกรมธรรม์ (Policy Holder)
  • ผู้รับผลประโยชน์ (Beneficiary)
การประกันจักต้องผ่านกระบวนการพิจารณารับประกัน (Underwriting) เพื่อผู้รับประกันจักประเมินความเสี่ยงล่วงหน้าของ บุคคล, กลุ่มบุคคล หรือ ทรัพทย์สิน นั้น ๆ พร้อมกำหนด รายละเอียดความคุ้มครอง และค่าเบี้ยประกัน ผู้รับประกันอาจรับประกัน โดยแบ่งความเสี่ยงมาส่วนหนึ่ง หรือ ปฏิเสธ หากความเสี่ยงนั้นไม่อาจรับได้ หรือ ผู้รับประกันอาจรับประกันโดยเพิ่มอัตราเบี้ยพิเศษ เพื่อให้สามารถครอบคลุมความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
การทำประกัน เป็นสัญญาต่างตอบแทนที่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยคู่สัญญาต่างมีหน้าที่ ที่ต้องรับผิดชอบต่อกัน ผู้รับประกันจักต้องคุ้มครองผู้เอาประกันตามรายละเอียดในสัญญาเมื่อมีความสูญเสีย เสียหายเกิดขึ้น โดยชดเชยตามรายละเอียดความคุ้มครอง ผู้เอาประกันก็มีหน้าที่ชำระเบี้ยประกันตามที่ระบุในสัญญาเพื่อให้ความคุ้มครองเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
การทำประกันจุดประสงค์แท้จริงเพื่อแบ่งเบาความเสี่ยง จากบุคคล, กลุ่มบุคคล หรือ ทรัพย์สินนั้น ๆ ออกเป็นส่วนโดยร่วมกันชดเชยเมื่อมีความสูญเสีย เสียหายเกิดขึ้น โดยยึดหลักสุจริตเป็นสำคัญ และการทำประกันมิใช่สัญญาเพื่อค้ากำไร

ความเป็นมาของการประกันภัย[แก้]

มีเรื่องปรากฏในพระคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับโจเซฟและความอดอยากในประเทศอียิปต์ ซึ่งถือว่าเป็นโครงการประกันภัยอันแรกเท่าที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ เล่ากันว่า คืนวันหนึ่ง ฟาโรห์ทรงพระสุบินว่า มีวัวอ้วนเจ็ดตัวกำลังถูกวัวผอมเจ็ดตัวกัดกิน โจเซฟทำนายฝันว่าประเทศอียิปต์จะมีพืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์เป็นเวลาเจ็ดปี และต่อจากนั้นจะเกิดความแห้งแล้ง ประชาชนจะอดอยากปากแห้งเป็นเวลาเจ็ดปี ดังนั้น จึงทูลเสนอต่อกษัตริย์ฟาโรห์ให้สะสมธัญญาหารในปีที่สมบูรณ์ไว้สำหรับเลี้ยงประชาชนในปีที่ข้าวยากหมากแพง วิธีนี้เรียกได้ว่าเป็นหลักประกันภัยพื้นฐาน กล่าวคือ เก็บออมตั้งแต่วันนี้เพื่อไว้ใช้ในอนาคตซึ่งหาความแน่นอนไม่ได้
ในประเทศจีน ประมาณ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล พ่อค้าชาวจีนได้พัฒนาวิธีการประกันภัยขึ้นสำหรับการขนส่งสินค้าตามลำน้ำแยงซี ซึ่งมีสายน้ำที่เชี่ยวกราก และเรื่อบรรทุกสินค้ามักอับปางลงอยู่เสมอ เนื่องจากมีหินใต้น้ำและเกาะแก่งที่คดเคี้นว ซึ่งเป็นอันตรายตาอการเดินเรือ มีปรากฏอยู่เสมอว่าพ่อค้าบางคนต้องสิ้นเนื้อประดาตัว เพราะสินค้าได้รับความเสียหายหมด ดังนั้น ด้วยความกลัว พ่อค้าเปล่านั่นจึงหาวิธีการกระจายความเสี่ยงภัยออกไป โดยนำสินค้าของตนบรรทุกไว้ในเรือลำอื่นหลายลำ เฉลี่ยกันไปจนครบหีบห่อสินค้า ซึ่งถ้าเรือลำใดลำหนึ่งจมลง ก็หมายความว่า สินค้าของพ่อค้าแต่ละคนสูญเสียเพียงคนละ 1 หีบห่อเท่านั้น ซึ่งวิธีการเช่นนี้เป็นที่มาของการประกันภัยในปัจจุบัน ราวก่อนศตวรรษที่ 13 และปรากฏว่ามีการประกันภัยทางทะเลกันอย่างแพร่หลายตามเมืองต่าง ๆ ในทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยน สัญญาการประกันภัยการขนส่งสินค้าทางทะเลฉบับแรกของโลกเท่าที่มีปรกฎเป็นหลักฐานจนถึงปัจจุบันนี้ คือ แบบลงวันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ. 1347 ออกให้ ณ เมืองเจนัว ประเทศอิตาลี
ส่วนสัญญาประกันภัยฉบับแรกของอังกฤษ เท่าที่ปรกฎตามหลักฐานซึ่งยังคงเก็บรักษาไว้ถึงปัจจุบัน คือ "Broke Sea Insurance Policy" ปี ค.ศ. 1547 วิธีทำประกันภัยสมัยนั้นคือเจ้าของเรือ หรือพ่อค้าที่ต้องการซื้อประกันภัย จะทำบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินต่าง ๆ ที่จะบรรทุกลงเรือ ใต้รายการเหล่านี้ นายธนาคารหรือบุคคลอื่น ๆ ที่ประสงค์จะรับประกันภัยจะลงชื่อพร้อมกับระบุจำนวนเงินที่ตนจะรับเสี่ยงแล้วลงลายมือชื่อไว้ (และนี่คือที่มาของคำว่า Underwriter) และเพื่อเป็นค่าตอบแทนในการเข้ารับเสี่ยงภัย ผู้ลงนามข้างใต้ (Underwriter) แต่ละคนจะได้รับค่าตอบแทน เรียกว่า เบี้ยประกันภัย
ในช่วงเวลานั้น สัญญาประกันภัยส่วนมากเป็น สัญญาประกันภัยทางทะเล ต่อมาก็ขยายออกไปคุ้มครองถึงการเสียชีวิตของนายเรือและลูกเรือ รวมทั้งพ่อค้าที่คุมสินค้าไปกับเรือ ตลอดจนคุ้มครองจำนวนเงินที่จะเป็นค่าไถ่ตัวเมื่อถูกโจรสลัดจับตัวด้วย
ส่วนกรมธรรม์ ประกันชีวิตดังที่เรารู้จักกันในขณะนี้ มีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1583

เอกสารทางการขนส่ง


การขนส่ง () หมายถึง การเคลื่อนย้ายผลิตผลโดยให้เกิดความสูญเสีย

น้อยที่สุด การขนส่งผลิตผลในประเทศไทยส่วนมากยังคงใช้ระบบการขนส่งด้วยรถธรรมดา 

และมีการขนส่งด้วยรถห้องเย็นซึ่งสามารถปรับอุณหภูมิได้ตามต้องการ เช่น การขนส่งผลิตผล

พืชสวนจากเชียงใหม่มายังกรุงเทพมหานครของมูลนิธิโครงการหลวงเป็นการขนส่งโดยใช้รถ

ห้องเย็น ส่วนการขนส่งผลิตผลเพื่อไปจำหน่ายยังต่างประเทศมักขนส่งโดยทางเรือ สำหรับ

ประเทศที่อยู่ไม่ห่างไกลนัก เช่น ฮ่องกง และญี่ปุ่น เป็นต้น แต่หากต้องส่งผลิตผลไปจำหน่าย

ยังดินแดนที่ห่างไกลมักขนส่งโดยทางเครื่องบิน ในประเทศสหรัฐอเมริกาขนส่งผลิตผลพืช

สวนโดยใช้รถห้องเย็นเป็นส่วนใหญ่ และบางส่วนขนส่งด้วยรถไฟ และขนส่งผลิตผลพืชสวนที่

มีราคาสูงด้วยเครื่องบิน ตู้เย็นที่ติดอยู่กับหัวรถนั้นในบางกรณีสามารถปรับให้เป็นระบบ

ควบคุมบรรยากาศได้

เอกสารการซื้อขายสินค้า


เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายสินค้า


                      1.ใบขอซื้อ (Purchase Requisition) คือ เอกสารที่แผนกคลังสินค้าจัดทำขึ้นเพื่อแจ้งว่าสินค้าชนิดใด ประเภทใดของกิจการใกล้จะหมด และต้องการสั่งซื้อเพิ่มปริมาณเท่าไร โดยจัดทำใบขอซื้อสินค้าส่งไปให้แผนกจัดซื้อดำเนินการต่อ
                      2.ใบสั่งซื้อสินค้า  (Purchase Order) คือเอกสารที่แผนกจัดซื้อสินค้าจัดทำขึ้นหลังจาก ได้รับใบขอซื้อสินค้าจากแผนกคลังสินค้าแล้ว ก็จะดำเนินการคัดเลือกสินค้าจากผู้ขายสินค้าหลายรายเพื่อให้ได้สินค้าที่ดีมีคุณภาพและราคาถูก เมื่อตัดสินใจที่จะซื้อสินค้าจากผู้ขายสินค้ารายที่คัดเลือกแล้ว จึงจัดทำใบสั่งซื้อสินค้าส่งไปให้ผู้ขายสินค้าเพื่อแจ้งให้ผู้ขายสินค้าว่าต้องการสินค้าประเภทใด ปริมาณเท่าใด คุณภาพอย่างไร ราคาเท่าไรซึ่งรายละเอียดดังกล่าวนี้จะแจ้งไว้ในใบสั่งซื้อ
                       3.ใบกำกับสินค้า (Invoice) คือ เอกสารที่ผู้ขายสินค้าจัดทำขึ้นเพื่อส่งไปให้ผู้ซื้อพร้อมกับสินค้า
                       4.ใบรับสินค้า (Receive Report) คือ เอกสารที่ผู้ซื้อสินค้าจัดทำขึ้น หลังจากที่ได้รับสินค้าจากผู้ขายสินค้า   ผู้ซื้อจะต้องทำการตรวจนับสินค้าคู่กับใบ กำกับสินค้าที่ผู้ขายสินค้าส่งมาให้ว่าถูกต้องตรงตามที่สั่งหรือไม่ เมื่อถูกต้องแล้วก็จัดทำใบรับสินค้าส่งไปให้ผู้ขายสินค้า
                       5.ใบส่งสินค้า (Delivery note) คือ เอกสารจากผู้ส่งสินค้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งแสดงสินค้าที่จัดส่งถึงผู้รับ เป็นหลักฐานที่สามารถใช้ยืนยันได้ว่าส่งสินค้าไปแล้ว และใช้ตรวจสอบความถูกต้อง ซึ่งสะดวกต่อการจัดการระบบบัญชีของบริษัท-ห้างร้านต่างๆ
                       6.ใบขอลดหนี้ หรือใบส่งคืน (Debit Note or Debit Memorandum) คือ เอกสารที่ผู้ซื้อจัดส่งให้ผู้ขาย เพื่อแจ้งให้ทราบว่าได้รับสินค้าแล้วปรากฏว่าสินค้าส่งมาไม่ตรงตามใบสั่งซื้อ หรือสินค้าชำรุด หรือคิดราคามากไป และผู้ซื้อส่งคืนโดยไม่รับสินค้าแลกเปลี่ยน ผู้ขายอาจลดราคาให้สำหรับสินค้าที่ส่งคืน เมื่อผู้ซื้อส่งคืนสินค้าจะออกใบลดหนี้ หรือใบส่งคืน เมื่อผู้ซื้อส่งคืนสินค้าจากการซื้อเป็นเงินสดจะได้รับเงินสดคืน   แต่ถ้าซื้อสินค้าเป็นเงินเชื่อจะลดยอดเจ้าหนี้การค้า
                        7.ใบหักหนี้ หรือใบรับคืน (Credit Note or Credit Memorandum) คือเอกสารที่ผู้ขายออกให้ผู้ซื้อ เพื่อแจ้งว่าผู้ขายได้รับคืนสินค้าจากผู้ซื้อ เนื่องจากสินค้าชำรุด หรือส่งไม่ตรงตามใบสั่งซื้อ หรือคิดราคามากไปโดยผู้ขายอาจลดราคาสินค้าให้ผู้ซื้อ ในกรณีที่ผู้ซื้อซื้อสินค้าเป็นเงินสดผู้ขายจะส่งเงินสดคืน แต่ถ้าผู้ซื้อ ซื้อสินค้าเป็นเงินเชื่อผู้ขายจะลดหนี้ให้กับผู้ซื้อ และผู้ขายจะออกใบลดหนี้ หรือใบรับคืนให้ผู้ซื้อเป็นหลักฐานในการลดหนี้
                       8.ใบเสร็จรับเงิน (Receipt) คือ เอกสารที่ผู้ขายออกให้ผู้ซื้อ กรณีขายสินค้าเป็นเงินสดหรือรับชำระหนี้จากลูกค้าที่ซื้อสินค้าเป็นเงินเชื่อหรือรับชำระหนี้จากลูกหนี้อื่น
 เอกสารเครดิตและเอกสารทางการเงิน (Credit and FinancialDocuments)

     ตั๋วสัญญาใช้เงิน ( Promissory note หรือ P/ N )
  ตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นคือหนังสือตราสารซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่าผู้ออกตั๋วให้คำมั่นสัญญาว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งหรือให้ใช้ตามคำสั่งของบุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับเงิน

             
       ลักษณะของตั๋วสัญญาใช้เงิน
              ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 983 กำหนดรายการตั๋วสัญญาใช้เงินดังนี้
-คำบอกชื่อว่าตั๋วสัญญาใช้เงิน
-คำมั่นสัญญาอันปราศจากเงื่อนไขว่าจะใช้เงินเป็นจำนวนแน่นอน
-วันถึงกำหนดใช้เงิน
-สถานที่ใช้เงิน
-ชื่อหรือรหัสของผู้รับเงิน
-ลายมือชื่อผู้ออกตั๋ว
ในปัจจุบันได้มีการนำตั๋วสัญญาใช้เงินมาใช้กันมากในกิจการเงินทุนและหลักทรัพย์กล่าวคือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์โดยทั่วไปจะออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่ผู้ที่นำเงินมาฝากไว้กับบริษัทซึ่งในตั๋วสัญญาใช้เงินแต่ละใบก็จะมีรายการต่างๆที่จำเป็นตรงกันเช่นจำนวนเดียวกับที่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์สัญญาจะคืนให้แก่ผู้ฝากจากนี้ในเมื่อครบกำหนดตามที่ตกลงกันไว้เช่นระยะเวลา 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี หรือ 2 ปี เป็นต้นตั๋วสัญญาใช้เงินแต่ละฉบับจะกำหนดไว้ด้วยว่าดอกเบี้ยที่บริษัทจะจ่ายให้แก่ผู้ฝากเงินเป็นอัตราร้อยละเท่าไรต่อปี
               เมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนดชำระเงินแล้วผู้ฝากซึ่งเป็นผู้ทรงตั๋วย่อมสามารถจะนำตั๋วนั้นไปขั้นเงินได้เรียกว่าให้บริษัทผู้รับฝากใช้เงินพร้อมทั้งดอกเบี้ยตามที่ปรากฏบนหน้าตั๋วทันที

                               เช็ค
              เช็คนั้นคือหนังสือตราสารซึ่งบุคคลหนึ่งว่าเรียกว่าผู้สั่งจ่ายสั่งธนาคารให้ใช้เงินจำนวนหนึ่งเมื่อทวงถามให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งหรือให้ใช้ตามคำสั่งของอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้รับเงิน

สรุปได้ว่า
1.เช็คเป็นตั๋วเงินชนิดหนึ่ง
2.ผู้จ่ายเงินตามเช็คคือธนาคาร
3.การจ่ายเงินต้องจ่ายเมื่อทวงถามเท่านั้นกรณีวันจ่ายเงินสำหรับเช็คที่ไม่ลงวันที่และให้มีการตกลงกันไว้จะลงวันที่และให้มีการตกลงกันไว้ว่าจะลงวันที่เท่าใดและอย่างไรนั้นจะถือว่าเป็นเช็คที่สมบูรณ์ถูกต้องเมื่อถึงวันที่ที่ลงกันไว้เช็คนั้น หรือเมื่อได้มีการลงวันที่ในเช็คนั้นโดยถูกต้อง
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 988 บัญญัติไว้ว่าอันเช็คนั้น ต้องมีรายการ
ดังต่อไปนี้คือ
- คำบอกชื่อว่าเป็นเช็ค
- คำสั่งอันปราศจากเงื่อนไขให้ใช้เงินเป็นจำนวนแน่นอน
- ชื่อหรือยี่ห้อและสำนักของธนาคาร
- สถานที่ใช้เงิน
- วันและสถานที่ออกเช็ค
- ลายมือ